Close Menu
    Facebook X (Twitter) Instagram
    envypillowthailand
    • Home
    • ข่าวสารล่าสุด
    • ความบันเทิง
    • สุขภาพ
    • สูตรอาหาร
    envypillowthailand
    ข่าวสารล่าสุด

    โรคแผลในกระเพาะอาหาร อันตราย ถึงชีวิต?

    Nicholas GonzalezBy Nicholas GonzalezJune 20, 2025Updated:June 20, 2025No Comments2 Mins Read

    แผลในกระเพาะอาหาร หรือชื่อทางการแพทย์ว่า แผลเปปติก (Peptic Ulcers) อันตราย คือแผลที่เกิดขึ้นที่เยื่อบุของกระเพาะอาหารหรือบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น (ดูโอดีนัม) สาเหตุของแผลในกระเพาะมักเกิดจากกรดในกระเพาะอาหารที่มากเกินไป การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori หรือการใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน) เป็นระยะเวลานาน

    แม้ว่าแผลในกระเพาะอาหารสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายกรณี แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ แล้วแผลในกระเพาะอาหารสามารถทำให้เสียชีวิตได้จริงหรือไม่? มาหาคำตอบกัน

    สัญญาณเตือนของแผลในกระเพาะอาหาร

    ก่อนพูดถึงความเสี่ยง ควรรู้จักอาการที่บ่งชี้ถึงแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่:

    • ปวดแสบหรือปวดเฉียบพลันบริเวณช่องท้องส่วนบน โดยเฉพาะตอนท้องว่างหรือตอนกลางคืน
    • คลื่นไส้และอาเจียน
    • ท้องอืด เรอมากกว่าปกติ
    • รู้สึกอิ่มแม้ทานอาหารได้น้อย
    • อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย (อาจบ่งชี้ว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร)

    หากละเลยอาการเหล่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมากขึ้นได้

    ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของแผลในกระเพาะอาหาร

    1. เลือดออกภายใน (แผลทะลุ)

    ภาวะแทรกซ้อนที่ อันตราย ที่สุดอย่างหนึ่งคือแผลทะลุ ทำให้เลือดออกภายในกระเพาะหรือลำไส้ อาการประกอบด้วย:

    • ปวดท้องอย่างเฉียบพลันและรุนแรง
    • อาเจียนเป็นเลือดหรือมีลักษณะเหมือนกากกาแฟ
    • ถ่ายดำ มีกลิ่นแรง (เมลีนา)
    • ความดันโลหิตต่ำลงอย่างรวดเร็ว (ภาวะช็อกจากการเสียเลือด)

    หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตจากการเสียเลือดมากหรือติดเชื้อรุนแรงได้

    2. การติดเชื้อในช่องท้อง (เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือ Peritonitis)

    หากแผลทะลุทำให้กรดหรือน้ำย่อยรั่วเข้าสู่ช่องท้อง อาจเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะติดเชื้อที่รุนแรงและต้องผ่าตัดฉุกเฉิน อาการได้แก่:

    • มีไข้สูง
    • ท้องแข็งและเจ็บมาก
    • หัวใจเต้นเร็ว
    • ความดันเลือดลดลง

    หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจพัฒนาเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

    3. การตีบแคบของทางเดินอาหาร (Stricture)

    ในกรณีที่เป็นแผลเรื้อรัง อาจทำให้เกิดพังผืดหรือแผลเป็นในทางเดินอาหาร ทำให้ทางเดินอาหารแคบลง ส่งผลให้เกิด:

    • อาเจียนบ่อย
    • น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
    • ภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหาร

    หากไม่รักษาโดยการผ่าตัดหรือการดูแลทางการแพทย์ อาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมอย่างรุนแรง

    ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้แผลในกระเพาะแย่ลง

    • การใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เป็นเวลานาน
    • การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori
    • การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
    • ความเครียดสูง (แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่สามารถกระตุ้นอาการให้แย่ลงได้)
    • ประวัติครอบครัวที่เคยมีแผลในกระเพาะอาหาร

    แผลในกระเพาะอาหารสามารถทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่?

    คำตอบคือ “สามารถ” หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แม้ว่าในปัจจุบันการรักษาแผลในกระเพาะจะมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ยาลดกรด (PPI) และยาปฏิชีวนะ (ในกรณีติดเชื้อ H. pylori) แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก แผลทะลุ หรือเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    งานวิจัยชี้ว่า ประมาณ 5-10% ของผู้ป่วยแผลในกระเพาะที่มีอาการรุนแรง อาจเสียชีวิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

    การป้องกันและการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

    เพื่อป้องกันไม่ให้แผลในกระเพาะพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรง ควรปฏิบัติดังนี้:

    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเกินจำเป็น ใช้เฉพาะตามคำสั่งแพทย์
    • รักษาการติดเชื้อ H. pylori ด้วยยาปฏิชีวนะ
    • งดหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่
    • จัดการความเครียดด้วยวิธีผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือสมาธิ
    • ระมัดระวังการเลือกอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด เปรี้ยว หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก
    • หากมีอาการรุนแรง เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ ควรไปพบแพทย์ทันที

    การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร

    การตรวจวินิจฉัยมีบทบาทสำคัญในการตรวจพบแผลในกระเพาะอาหารแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยวิธีการที่แพทย์มักใช้ ได้แก่

    • การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy)
      เป็นวิธีที่ได้ผลแม่นยำที่สุด แพทย์สามารถเห็นแผลโดยตรง เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อตรวจหา H. pylori หรือเซลล์ผิดปกติได้ในคราวเดียวกัน
    • การตรวจหาเชื้อ Helicobacter pylori
      ตรวจได้จากลมหายใจ อุจจาระ หรือเลือด เพื่อวินิจฉัยว่าต้องรักษาเชื้อที่เกี่ยวข้องกับแผลในกระเพาะหรือไม่
    • การตรวจเลือดและอุจจาระ
      ใช้ประเมินการเสียเลือดจากแผล หากมีอาการซีด เหนื่อยง่าย หรือถ่ายดำ

    วิธีรักษาและการดูแลอย่างเหมาะสม

    เมื่อแพทย์ยืนยันว่าเป็นแผลในกระเพาะอาหาร แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยทั่วไปอาจรวมถึง

    1. การใช้ยา

    • ยาลดกรด หรือยาลดการหลั่งกรด เช่น PPI (Omeprazole, Pantoprazole)
    • ยาฆ่าเชื้อ H. pylori หากพบการติดเชื้อ
    • ยาป้องกันเยื่อบุกระเพาะ ในผู้ที่ต้องใช้ยากลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ

    2. การปรับพฤติกรรม

    • รับประทานอาหารตรงเวลา งดอาหารรสจัด ของหมักดอง และคาเฟอีน
    • หลีกเลี่ยงการนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร
    • งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
    • ลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการหลั่งกรด

    3. การผ่าตัด (เฉพาะกรณีรุนแรง)

    ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลทะลุ แผลที่มีเลือดออกไม่หยุด หรือแผลเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด


    กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ

    • ผู้ที่มีประวัติแผลในกระเพาะอาหารมาก่อน
    • ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะที่ใช้ยาต้านการอักเสบหรือยาสลายลิ่มเลือด
    • ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือมีความเครียดสะสมสูง
    • ผู้ที่มีอาการทางระบบทางเดินอาหารเรื้อรังแต่ไม่เคยตรวจวินิจฉัย

    ตารางสรุป: แผลในกระเพาะอาหารกับความเสี่ยงต่อชีวิต

    หัวข้อรายละเอียด
    สาเหตุหลัก– การติดเชื้อ H. pylori
    – การใช้ยา NSAIDs เป็นเวลานาน
    – ความเครียด
    – การสูบบุหรี่ / ดื่มแอลกอฮอล์
    อาการเบื้องต้น– ปวดแสบลิ้นปี่
    – แน่นท้อง
    – เรอบ่อย / จุกเสียด
    – คลื่นไส้ อาเจียน
    ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง– เลือดออกในกระเพาะ
    – แผลทะลุ
    – ลำไส้ตีบตัน
    – ความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะ
    การวินิจฉัยที่สำคัญ– การส่องกล้อง
    – ตรวจหาเชื้อ H. pylori
    – ตรวจเลือด/อุจจาระ
    แนวทางรักษา– ยาลดกรด / ยาฆ่าเชื้อ
    – ปรับพฤติกรรมการกินและชีวิต
    – ผ่าตัดในบางราย
    ป้องกันได้หรือไม่– ป้องกันได้หากควบคุมปัจจัยเสี่ยง และตรวจร่างกายเมื่อมีอาการผิดปกติ
    อันตรายถึงชีวิตหรือไม่– ได้ หากปล่อยให้มีเลือดออก แผลทะลุ หรือติดเชื้อในช่องท้องโดยไม่ได้รับการรักษา

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหารที่พบบ่อย

    แม้ว่าแผลในกระเพาะอาหารจะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ในสังคมไทยยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโรคนี้อยู่มาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลรักษาที่เหมาะสม

    1. คิดว่าแผลในกระเพาะเกิดจาก “เครียดอย่างเดียว”

    แม้ความเครียดจะเป็นปัจจัยกระตุ้น แต่สาเหตุหลักทางการแพทย์มักมาจากเชื้อ Helicobacter pylori และการใช้ยา NSAIDs
    ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้รักษาได้ตรงจุด โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อและใช้ยาปฏิชีวนะหากจำเป็น

    2. คิดว่าอาการท้องอืดหรือแน่นท้องเล็กน้อยไม่อันตราย

    ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ว่าการปวดท้องหรือเรอบ่อยอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแผลที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ
    การรอจนกระทั่งอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ มักเป็นสัญญาณว่ากระเพาะเสียหายหนักแล้ว

    3. คิดว่า “กินยาลดกรดทั่วไป” ก็หายได้

    ยาลดกรดที่หาซื้อง่ายเพียงบรรเทาอาการชั่วคราว แต่ไม่ได้รักษาสาเหตุของแผล
    การรักษาโดยไม่วินิจฉัยชัดเจนอาจทำให้อาการกลับมาเป็นเรื้อรัง และเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น


    แนวทางสื่อสารสุขภาพเพื่อป้องกันปัญหา

    หากคุณเป็นครู แพทย์ พยาบาล หรือผู้ดูแลสุขภาพในชุมชน การสื่อสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรครุนแรงในประชากรได้
    สิ่งที่ควรเน้นในการสื่อสาร ได้แก่

    • สอนให้ประชาชนรู้จักอาการเบื้องต้นที่ไม่ควรมองข้าม
    • ให้ความรู้เรื่องสาเหตุที่แท้จริงของโรคและปัจจัยเสี่ยง
    • แนะนำให้พบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
    • ส่งเสริมการตรวจหา H. pylori ในกลุ่มเสี่ยงหรือในผู้ที่มีอาการเรื้อรัง
    โรคแผลในกระเพาะอาหาร อันตราย ถึงชีวิต?
    Nicholas Gonzalez

    Related Posts

    สูตรอร่อย: วิธีทำลูกชิ้นปลาแกงกะหรี่สไตล์สตรีทฟู้ด ฮ่องกง

    October 29, 2025

    พาสตี้ ข้ามพรมแดน: พาสตี้คอร์นิชเป็นอาหารหลักของแมนเชสเตอร์

    October 28, 2025

    จาก เมเซ ถึงมันตี: อาหารตุรกีที่ดึงดูดใจคนทั่วโลก

    October 27, 2025

    Comments are closed.

    Type above and press Enter to search. Press Esc to cancel.