แผลในกระเพาะอาหาร หรือชื่อทางการแพทย์ว่า แผลเปปติก (Peptic Ulcers) อันตราย คือแผลที่เกิดขึ้นที่เยื่อบุของกระเพาะอาหารหรือบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น (ดูโอดีนัม) สาเหตุของแผลในกระเพาะมักเกิดจากกรดในกระเพาะอาหารที่มากเกินไป การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori หรือการใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs (เช่น แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน) เป็นระยะเวลานาน
แม้ว่าแผลในกระเพาะอาหารสามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายกรณี แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ แล้วแผลในกระเพาะอาหารสามารถทำให้เสียชีวิตได้จริงหรือไม่? มาหาคำตอบกัน
สัญญาณเตือนของแผลในกระเพาะอาหาร
ก่อนพูดถึงความเสี่ยง ควรรู้จักอาการที่บ่งชี้ถึงแผลในกระเพาะอาหาร ได้แก่:
- ปวดแสบหรือปวดเฉียบพลันบริเวณช่องท้องส่วนบน โดยเฉพาะตอนท้องว่างหรือตอนกลางคืน
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ท้องอืด เรอมากกว่าปกติ
- รู้สึกอิ่มแม้ทานอาหารได้น้อย
- อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย (อาจบ่งชี้ว่ามีเลือดออกในกระเพาะอาหาร)
หากละเลยอาการเหล่านี้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมากขึ้นได้
ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของแผลในกระเพาะอาหาร
1. เลือดออกภายใน (แผลทะลุ)
ภาวะแทรกซ้อนที่ อันตราย ที่สุดอย่างหนึ่งคือแผลทะลุ ทำให้เลือดออกภายในกระเพาะหรือลำไส้ อาการประกอบด้วย:
- ปวดท้องอย่างเฉียบพลันและรุนแรง
- อาเจียนเป็นเลือดหรือมีลักษณะเหมือนกากกาแฟ
- ถ่ายดำ มีกลิ่นแรง (เมลีนา)
- ความดันโลหิตต่ำลงอย่างรวดเร็ว (ภาวะช็อกจากการเสียเลือด)
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตจากการเสียเลือดมากหรือติดเชื้อรุนแรงได้
2. การติดเชื้อในช่องท้อง (เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือ Peritonitis)
หากแผลทะลุทำให้กรดหรือน้ำย่อยรั่วเข้าสู่ช่องท้อง อาจเกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะติดเชื้อที่รุนแรงและต้องผ่าตัดฉุกเฉิน อาการได้แก่:
- มีไข้สูง
- ท้องแข็งและเจ็บมาก
- หัวใจเต้นเร็ว
- ความดันเลือดลดลง
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจพัฒนาเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้
3. การตีบแคบของทางเดินอาหาร (Stricture)
ในกรณีที่เป็นแผลเรื้อรัง อาจทำให้เกิดพังผืดหรือแผลเป็นในทางเดินอาหาร ทำให้ทางเดินอาหารแคบลง ส่งผลให้เกิด:
- อาเจียนบ่อย
- น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว
- ภาวะขาดน้ำและขาดสารอาหาร
หากไม่รักษาโดยการผ่าตัดหรือการดูแลทางการแพทย์ อาจส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมอย่างรุนแรง
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้แผลในกระเพาะแย่ลง
- การใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เป็นเวลานาน
- การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori
- การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ความเครียดสูง (แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่สามารถกระตุ้นอาการให้แย่ลงได้)
- ประวัติครอบครัวที่เคยมีแผลในกระเพาะอาหาร
แผลในกระเพาะอาหารสามารถทำให้เสียชีวิตได้หรือไม่?
คำตอบคือ “สามารถ” หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แม้ว่าในปัจจุบันการรักษาแผลในกระเพาะจะมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ยาลดกรด (PPI) และยาปฏิชีวนะ (ในกรณีติดเชื้อ H. pylori) แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออก แผลทะลุ หรือเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
งานวิจัยชี้ว่า ประมาณ 5-10% ของผู้ป่วยแผลในกระเพาะที่มีอาการรุนแรง อาจเสียชีวิต โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การป้องกันและการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
เพื่อป้องกันไม่ให้แผลในกระเพาะพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรง ควรปฏิบัติดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเกินจำเป็น ใช้เฉพาะตามคำสั่งแพทย์
- รักษาการติดเชื้อ H. pylori ด้วยยาปฏิชีวนะ
- งดหรือจำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ และเลิกสูบบุหรี่
- จัดการความเครียดด้วยวิธีผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือสมาธิ
- ระมัดระวังการเลือกอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด เปรี้ยว หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก
- หากมีอาการรุนแรง เช่น อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ ควรไปพบแพทย์ทันที
การวินิจฉัยแผลในกระเพาะอาหาร
การตรวจวินิจฉัยมีบทบาทสำคัญในการตรวจพบแผลในกระเพาะอาหารแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยวิธีการที่แพทย์มักใช้ ได้แก่
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Gastroscopy)
เป็นวิธีที่ได้ผลแม่นยำที่สุด แพทย์สามารถเห็นแผลโดยตรง เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อตรวจหา H. pylori หรือเซลล์ผิดปกติได้ในคราวเดียวกัน - การตรวจหาเชื้อ Helicobacter pylori
ตรวจได้จากลมหายใจ อุจจาระ หรือเลือด เพื่อวินิจฉัยว่าต้องรักษาเชื้อที่เกี่ยวข้องกับแผลในกระเพาะหรือไม่ - การตรวจเลือดและอุจจาระ
ใช้ประเมินการเสียเลือดจากแผล หากมีอาการซีด เหนื่อยง่าย หรือถ่ายดำ
วิธีรักษาและการดูแลอย่างเหมาะสม
เมื่อแพทย์ยืนยันว่าเป็นแผลในกระเพาะอาหาร แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรง โดยทั่วไปอาจรวมถึง
1. การใช้ยา
- ยาลดกรด หรือยาลดการหลั่งกรด เช่น PPI (Omeprazole, Pantoprazole)
- ยาฆ่าเชื้อ H. pylori หากพบการติดเชื้อ
- ยาป้องกันเยื่อบุกระเพาะ ในผู้ที่ต้องใช้ยากลุ่ม NSAIDs เป็นประจำ
2. การปรับพฤติกรรม
- รับประทานอาหารตรงเวลา งดอาหารรสจัด ของหมักดอง และคาเฟอีน
- หลีกเลี่ยงการนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร
- งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
- ลดความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการหลั่งกรด
3. การผ่าตัด (เฉพาะกรณีรุนแรง)
ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลทะลุ แผลที่มีเลือดออกไม่หยุด หรือแผลเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ
- ผู้ที่มีประวัติแผลในกระเพาะอาหารมาก่อน
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะที่ใช้ยาต้านการอักเสบหรือยาสลายลิ่มเลือด
- ผู้ที่ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือมีความเครียดสะสมสูง
- ผู้ที่มีอาการทางระบบทางเดินอาหารเรื้อรังแต่ไม่เคยตรวจวินิจฉัย
ตารางสรุป: แผลในกระเพาะอาหารกับความเสี่ยงต่อชีวิต
หัวข้อ | รายละเอียด |
---|---|
สาเหตุหลัก | – การติดเชื้อ H. pylori – การใช้ยา NSAIDs เป็นเวลานาน – ความเครียด – การสูบบุหรี่ / ดื่มแอลกอฮอล์ |
อาการเบื้องต้น | – ปวดแสบลิ้นปี่ – แน่นท้อง – เรอบ่อย / จุกเสียด – คลื่นไส้ อาเจียน |
ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง | – เลือดออกในกระเพาะ – แผลทะลุ – ลำไส้ตีบตัน – ความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะ |
การวินิจฉัยที่สำคัญ | – การส่องกล้อง – ตรวจหาเชื้อ H. pylori – ตรวจเลือด/อุจจาระ |
แนวทางรักษา | – ยาลดกรด / ยาฆ่าเชื้อ – ปรับพฤติกรรมการกินและชีวิต – ผ่าตัดในบางราย |
ป้องกันได้หรือไม่ | – ป้องกันได้หากควบคุมปัจจัยเสี่ยง และตรวจร่างกายเมื่อมีอาการผิดปกติ |
อันตรายถึงชีวิตหรือไม่ | – ได้ หากปล่อยให้มีเลือดออก แผลทะลุ หรือติดเชื้อในช่องท้องโดยไม่ได้รับการรักษา |
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแผลในกระเพาะอาหารที่พบบ่อย
แม้ว่าแผลในกระเพาะอาหารจะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่ในสังคมไทยยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับโรคนี้อยู่มาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยละเลยการดูแลรักษาที่เหมาะสม
1. คิดว่าแผลในกระเพาะเกิดจาก “เครียดอย่างเดียว”
แม้ความเครียดจะเป็นปัจจัยกระตุ้น แต่สาเหตุหลักทางการแพทย์มักมาจากเชื้อ Helicobacter pylori และการใช้ยา NSAIDs
ความเข้าใจที่ถูกต้องจะช่วยให้รักษาได้ตรงจุด โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อและใช้ยาปฏิชีวนะหากจำเป็น
2. คิดว่าอาการท้องอืดหรือแน่นท้องเล็กน้อยไม่อันตราย
ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ว่าการปวดท้องหรือเรอบ่อยอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแผลที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ
การรอจนกระทั่งอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ มักเป็นสัญญาณว่ากระเพาะเสียหายหนักแล้ว
3. คิดว่า “กินยาลดกรดทั่วไป” ก็หายได้
ยาลดกรดที่หาซื้อง่ายเพียงบรรเทาอาการชั่วคราว แต่ไม่ได้รักษาสาเหตุของแผล
การรักษาโดยไม่วินิจฉัยชัดเจนอาจทำให้อาการกลับมาเป็นเรื้อรัง และเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น
แนวทางสื่อสารสุขภาพเพื่อป้องกันปัญหา
หากคุณเป็นครู แพทย์ พยาบาล หรือผู้ดูแลสุขภาพในชุมชน การสื่อสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรครุนแรงในประชากรได้
สิ่งที่ควรเน้นในการสื่อสาร ได้แก่
- สอนให้ประชาชนรู้จักอาการเบื้องต้นที่ไม่ควรมองข้าม
- ให้ความรู้เรื่องสาเหตุที่แท้จริงของโรคและปัจจัยเสี่ยง
- แนะนำให้พบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
- ส่งเสริมการตรวจหา H. pylori ในกลุ่มเสี่ยงหรือในผู้ที่มีอาการเรื้อรัง