การฉีด วัคซีน ไม่ใช่เพียงสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กเท่านั้น แต่ยังสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ใหญ่ด้วย หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าวัคซีนจำเป็นแค่ในวัยเด็ก แต่ในความเป็นจริง ร่างกายยังคงต้องการการป้องกันอย่างต่อเนื่องเมื่อเราอายุมากขึ้น วัคซีนบางชนิดจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นซ้ำ และบางโรคก็เสี่ยงมากขึ้นในวัยผู้ใหญ่ บทความนี้จะกล่าวถึงวัคซีนสำคัญที่ผู้ใหญ่ควรได้รับ
ทำไมการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่จึงสำคัญ?
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเริ่มอ่อนแอลง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น นอกจากนี้ วัคซีนที่เคยได้รับในวัยเด็กอาจหมดฤทธิ์ไปตามเวลา การฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่จึงมีความสำคัญด้วยเหตุผลต่อไปนี้:
- ป้องกันโรคร้ายแรง – วัคซีนสามารถป้องกันโรคที่อันตราย เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม และไวรัสตับอักเสบ
- ปกป้องผู้อื่น – การฉีดวัคซีนไม่เพียงป้องกันตัวคุณเอง แต่ยังช่วยลดการแพร่เชื้อไปยังทารกหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ป้องกันโรคระหว่างการเดินทาง – หากเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีโรคเฉพาะถิ่น อาจจำเป็นต้องฉีดวัคเสริม เช่น ไข้เหลือง หรือไทฟอยด์
- ผู้มีโรคประจำตัว – ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน เอชไอวี หรือโรคหืด มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อมากขึ้น
วัคซีนที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่
1. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
ควรฉีดเป็นประจำทุกปี เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่กลายพันธุ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
2. วัคซีน Tdap (บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน) หรือเข็มกระตุ้น Td
- บาดทะยัก – เกิดจากแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายผ่านบาดแผล
- คอตีบ – การติดเชื้อทางเดินหายใจที่อาจร้ายแรง
- ไอกรน – โรคติดต่อที่เป็นอันตรายต่อทารก
ควรฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี และหญิงตั้งครรภ์ควรได้รับเพื่อป้องกันทารก
3. วัคซีน HPV (เชื้อไวรัสฮิวแมนแพพพิโลมา)
ป้องกันมะเร็งปากมดลูก ทวารหนัก และคอ
แนะนำสำหรับ:
- เด็กหญิงและชายอายุ 9–26 ปี (ก่อนเริ่มมีเพศสัมพันธ์)
- ผู้ใหญ่ถึงอายุ 45 ปี (ควรปรึกษาแพทย์)
4. วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)
ส่งผลต่อการทำงานของตับและอาจนำไปสู่มะเร็งตับ
แนะนำสำหรับ:
- ผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน
- กลุ่มเสี่ยง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ใช้ยาเสพติดทางเข็ม ผู้ที่มีคู่นอนติดเชื้อ
5. วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)
ติดจากอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
แนะนำสำหรับ:
- นักเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง
- ผู้ที่มีโรคตับเรื้อรัง
- ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
6. วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม (Pneumococcal Vaccine)
ป้องกันโรคปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และการติดเชื้อในกระแสเลือด
แนะนำสำหรับ:
- ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หัวใจ เบาหวาน หอบหืด เอชไอวี
7. วัคซีน MMR (หัด คางทูม หัดเยอรมัน)
หากเกิดหลังปี 1990 และไม่เคยได้รับ ควรปรึกษาแพทย์
8. วัคซีนอีสุกอีใส (Varicella Vaccine)
ผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใสหรือไม่เคยฉีดวัคซีน มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ควรฉีด 2 เข็ม
9. วัคซีนงูสวัด (Herpes Zoster Vaccine)
เกิดจากเชื้อไวรัสอีสุกอีใสที่กลับมาทำงานอีกครั้ง แนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
10. วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Vaccine)
จำเป็นสำหรับ:
- นักเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด เช่น แอฟริกา
- นักศึกษาที่พักในหอพัก
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
11. วัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccine)
ยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับเข็มกระตุ้นตามคำแนะนำ
ควรฉีดวัคซีนเมื่อใด?
- อายุ 19–26 ปี: HPV, MMR (ถ้ายังไม่เคยรับ), ไวรัสตับอักเสบบี
- อายุ 27–49 ปี: วัคซีนกระตุ้น Tdap, วัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี, วัคซีนไวรัสตับอักเสบ A/B (ถ้าเสี่ยง)
- อายุ 50 ปีขึ้นไป: วัคซีนงูสวัด, วัคซีนปอดบวม, วัคซีนโควิด-19 เข็มกระตุ้น
ปรึกษาแพทย์ก่อนรับวัคซีน
ไม่ใช่ทุกคนจะต้องได้รับวัคซีนเหมือนกัน ปัจจัยอย่างประวัติสุขภาพ อาชีพ และรูปแบบการใช้ชีวิตจะมีผลต่อคำแนะนำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจรับวัคซีนใดๆ
แนวทางการวางแผนฉีดวัคซีนสำหรับผู้ใหญ่
การฉีดวัคซีนในวัยผู้ใหญ่ควรมีการวางแผนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะสุขภาพเฉพาะ หรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เพื่อให้ได้รับภูมิคุ้มกันอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
1. ประเมินความเสี่ยงส่วนบุคคล
ผู้ใหญ่แต่ละคนมีความเสี่ยงต่อโรคแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- อายุ
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคปอดเรื้อรัง
- ลักษณะอาชีพ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ พนักงานสนามบิน ครู
- พฤติกรรมส่วนตัว เช่น การเดินทางบ่อย การดื่มสุรา สูบบุหรี่
2. ตรวจสอบประวัติการฉีดวัคซีน
ควรนำสมุดบันทึกวัคซีนเดิม (หากมี) ไปปรึกษาแพทย์ เพื่อประเมินว่าเคยได้รับวัคซีนใดแล้วบ้าง และควรฉีดซ้ำหรือเสริมเพิ่มเติมเมื่อไร
3. ปรึกษาแพทย์หากมีปัญหาสุขภาพ
กรณีมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างใช้ยากดภูมิ ควรให้แพทย์เป็นผู้ประเมินความเหมาะสมในการฉีดวัคซีนแต่ละชนิด
การให้ความรู้เรื่องวัคซีนในชุมชน
การส่งเสริมการฉีดวัคซีนในผู้ใหญ่จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในระดับชุมชน ซึ่งเป็นฐานที่สำคัญของสังคมไทย
วิธีการที่สามารถใช้ได้ในระดับชุมชน ได้แก่
- การจัดกิจกรรมให้ความรู้
เช่น การบรรยายในชมรมผู้สูงอายุ ศูนย์สุขภาพชุมชน หรือศูนย์เรียนรู้สุขภาพ - การสร้างเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.)
ให้ช่วยให้ข้อมูลเรื่องวัคซีน ติดตามผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน และประสานงานกับสถานพยาบาล - การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ที่เข้าใจง่าย
เช่น อินโฟกราฟิก คลิปวิดีโอ หรือเสียงตามสาย เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม
ตัวอย่างกรณีวัคซีนที่ช่วยชีวิตในผู้ใหญ่
- ผู้สูงอายุที่ได้รับวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ มีอัตราการเข้าโรงพยาบาลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- ผู้หญิงที่ฉีดวัคซีน HPV ก่อนมีเพศสัมพันธ์ มีความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูกลดลงมากกว่า 90%
- ผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดโอกาสเสียชีวิต
หากต้องการให้ผมจัดทำ คู่มือการฉีดวัคซีนสำหรับวัยทำงาน หรือ เอกสารสำหรับศูนย์สุขภาพตำบล เพิ่มเติม ผมสามารถเขียนต่อให้ได้ในรูปแบบที่ต้องการ เช่น:
- สรุปสำหรับติดบอร์ดในโรงงานหรือบริษัท
- แผ่นพับให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุในชุมชน
- เวอร์ชัน infographic พร้อมหัวข้อย่อยอ่านง่าย
วัคซีนสำหรับผู้ใหญ่ก่อนการเดินทาง
การเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะไปยังประเทศในเขตร้อนหรือประเทศกำลังพัฒนา อาจทำให้ผู้เดินทางสัมผัสกับโรคติดเชื้อที่ไม่พบในประเทศไทย ดังนั้น การฉีดวัคซีนก่อนการเดินทางจึงมีความสำคัญมาก
วัคซีนที่แนะนำขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทาง เช่น:
- วัคซีนไข้เหลือง (Yellow fever)
จำเป็นสำหรับผู้ที่เดินทางไปแอฟริกาและบางประเทศในอเมริกาใต้ (เป็นข้อกำหนดของบางประเทศด้วย) - วัคซีนไข้ไทฟอยด์
สำหรับผู้ที่เดินทางไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกา - วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ/บี
แนะนำสำหรับผู้ที่เดินทางระยะยาว หรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง - วัคซีนพิษสุนัขบ้า (Rabies)
หากมีกิจกรรมใกล้ชิดสัตว์ หรือเดินทางในชนบทที่ระบบสาธารณสุขไม่ทั่วถึง - วัคซีนไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal)
โดยเฉพาะในผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ หรือไปยังแอฟริกาเขตร้อน
ควรเข้ารับคำปรึกษาที่ คลินิกเวชศาสตร์การเดินทาง (Travel Medicine Clinic) ล่วงหน้าอย่างน้อย 4–6 สัปดาห์ก่อนออกเดินทาง เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนวัคซีนได้ครบถ้วน
วัคซีนที่ควรพิจารณาสำหรับผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์
ผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังเรื่องวัคซีนอย่างมาก เพราะบางวัคซีนสามารถฉีดได้ บางชนิดต้องเลื่อน หรือหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด
วัคซีนที่แนะนำก่อนตั้งครรภ์
- วัคซีนหัด-เยอรมัน-คางทูม (MMR)
ควรฉีดก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อป้องกันทารกจากโรคหัดเยอรมันซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการแต่กำเนิด - วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี
ช่วยลดโอกาสที่แม่จะส่งเชื้อไปยังลูก - วัคซีนไข้หวัดใหญ่
หากฉีดก่อนตั้งครรภ์จะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
วัคซีนที่สามารถฉีดได้ระหว่างตั้งครรภ์
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ทุกไตรมาส และยังส่งภูมิคุ้มกันผ่านรกให้ทารกด้วย - วัคซีนบาดทะยัก-คอตีบ-ไอกรน (Tdap)
แนะนำให้ฉีดระหว่างอายุครรภ์ 27–36 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไอกรนในทารกแรกเกิด
วัคซีนที่ควรหลีกเลี่ยงขณะตั้งครรภ์
- วัคซีนชนิดเชื้อเป็น เช่น วัคซีน MMR, วัคซีนอีสุกอีใส
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบเอ (ใช้พิจารณาเป็นรายกรณี)
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนทุกครั้งหากอยู่ในช่วงวางแผนมีบุตร หรือกำลังตั้งครรภ์ เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัย
บทความนี้สามารถขยายต่อได้ในหัวข้อ:
- ตารางวัคซีนผู้ใหญ่ตามช่วงอายุ
- วัคซีนสำหรับผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ มะเร็ง
- ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับวัคซีนในผู้ใหญ่